TGเที่ยวบินตรงจากโตเกียวสู่กรุงเทพ

บินตรงจากสนามบินนาริตะสู่สุวรรณภูมิภายในเวลา5ชั่วโมง

'Cause I'm leavin' on a jet plane Don't know when I'll be back again*

30 August 2014

วันสุดท้ายของการมา Travel Internship ที่ ประเทศญี่ปุ่น 1 เดือน

ภาพเหตุการณ์วันแรกของการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิมาสู่สนามบินจูบุ เซนแทร (Chubu Centrair International Airport) เมืองนาโกย่า โดยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG644 ยังอยู่ในความทรงจำของฉันอยู่เลย วันที่ฉันต้องลากกระเป๋าใบยักษ์ด้วยตัวเอง เดินหลงหาชานชาลาไม่เจอจนพลาดรถไฟเที่ยวที่จองไว้ แถมยังสั่งราเมนชามแรกในทริปนี้แบบมั่วๆเพราะอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกสักตัว ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เสมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน จนฉันไม่คิดว่าเวลาจะเดินพ้นผ่านไปได้เร็วขนาดนี้

ตลอดระยะเวลา 30 วันที่ผ่านมาในประเทศญี่ปุ่น ล้วนให้ประสบการณ์ที่ล้ำค่าและเป็นบทเรียนที่สำคัญบทหนึ่งในชีวิตที่สอนให้ฉันตระหนักถึง “คุณค่าของการมีชีวิต” ในหลากหลายรูปแบบผ่านการออกเดินทางตัวคนเดียวในดินแดนแห่งนี้

ฉันสารภาพตามตรงว่าฉันไม่เคยไปเที่ยวไหนคนเดียวมาก่อนเลยในชีวิตนี้ และการเดินทางไปต่างประเทศของฉันส่วนใหญ่ก็มักจะมีผู้ปกครองหรือเพื่อนๆไปด้วยกันเป็นโขยง ทำให้การเดินทางไปญี่ปุ่นคนเดียวครั้งนี้นับเป็น “ภารกิจ” ที่น่าตื่นเต้นอยู่ทีเดียว มีทั้งอารมณ์อยากลอง อยากลุ้น แต่ก็มีอีกเสียงในใจเล็กๆกระซิบมาแว่วๆว่าไม่กลัวหรอ? แต่ในใจตอนนั้นมันก็ตอกกลับไปว่า “กลัวทำไม ชีวิตคนเรามันก็มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ มันต้องลองดูกันสักตั้งแหละน่า”

โชคดีที่ฉันได้ “Pocket Wifi” มาตั้งแต่อยู่เมืองไทย ทำให้การเดินทางตั้งแต่วันแรกดูง่ายขึ้นเยอะ แม้ฉันจะวางแผนมาบ้างแล้ว แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่ตรงตามแผนไปเสียหมด ในตอนแรกฉันพยายามทำแผนการท่องเที่ยวอย่างรัดกุมที่สุด จนหลังๆความขยันเริ่มน้อยลง และหาข้ออ้างกับตัวเองแบบเท่ๆว่า “เที่ยวแบบมีแผนไม่สนุก มันต้องเที่ยวตามจิตวิญญาณ” (เอิ่ม..ขี้เกียจดีๆนี่เอง) หลังจากนั้นไปที่ไหนก็หลงอยู่ตลอดเวลา

และฉันก็ได้ค้นพบว่า “การหลง” นี่แหละคือเสน่ห์ของการเดินทางที่แท้จริง ฉันได้รับความช่วยเหลือ น้ำใจและมิตรภาพของชาวญี่ปุ่นอย่างดีเสมอตลอดทั้งทริป แม้บางคนที่ฉันไปถามทางจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็เต็มใจที่จะช่วยสุดความสามารถ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฉันซาบซึ้งใจที่สุดของทริปนี้

แต่แล้วทุกงานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา และทุกการเดินทางก็ต้องมีวันที่ต้องกลับภูมิลำเนาเช่นกัน วันนี้ของทุกอย่างถูกแพคลงกระเป๋าอย่างเรียบร้อยมุ่งตรงไปสู่สนามบินนาริตะ กรุงโตเกียว แต่เช้าตรู่ เสียงเพลง “Leaving on a jet plan” ในไอพอดระหว่างนั่งรถไฟไปสนามบินยิ่งตอกย้ำความรู้สึกใจหายที่ต้องโบกมือลาดินแดนแห่งนี้ไปโดยไม่รู้ว่าวันไหนจะได้กลับมาอีกครั้ง

แน่นอนว่าการเดินทางกลับคราวนี้ฉันก็ยังเดินทางด้วยสายการบินไทย ไฟล์ท TG643 จากสนามบินนาริตะบินตรงสู่สนามบินสุวรรณภูมิ ภายในระยะเวลาเพียงห้าชั่วโมงเศษๆ โชคดีที่ไฟล์ทบินนี้เป็นช่วงเวลากลางวัน ทำให้บินมาถึงกรุงเทพฯไม่ดึกนัก มีเวลาเหลือให้จัดการข้าวของ และพักผ่อนก่อนไปทำงานในวันรุ่งขึ้นได้สบายๆ จากที่สังเกตส่วนใหญ่ผู้โดยสารในเที่ยวบินนี้จะเป็นคนไทยประมาณ 70% นั่นแสดงว่าคนไทยนิยมเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นไม่น้อยเลยทีเดียว

ระยะเวลาในเที่ยวบินนี้ทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าการไปญี่ปุ่นใช้เวลาเดินทางไม่นานนักสำหรับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศไทย เพราะช่วงเวลาที่อยู่บนเครื่องนั้น รองรับไปด้วยความบันเทิงที่ครบครัน ทั้งภาพยนตร์หลากหลายประเภททั้งเก่าและใหม่ ดนตรีและเพลงที่มีครบทุกสไตล์ ทุกยุคสมัย รวมถึงเมนูอาหารที่ถูกปากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยมีพนักงานต้อนรับสาวสวยและหนุ่มหล่อที่คอยให้บริการอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้เที่ยวบินของการบินไทยเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความประทับใจของผู้โดยสารอยู่ตลอดกาล

“ขอบพระคุณที่ใช้บริการการบินไทยค่ะ” แอร์โฮสเตสสาวสวยในชุดผ้าไหมไทยสีม่วงกล่าวอำลาก่อนที่ฉันจะเดินออกจากเครื่องบินโบอิงลำยักษ์ นี่จึงเป็นภาพความทรงจำสุดท้ายของทริปนี้ที่จบลงอย่างสวยงาม…พร้อมกับเสียงในใจที่ตะโกนว่า"ญี่ปุ่นแล้วเราจะพบกันใหม่!"

* เพลง Leaving on a jet plan ของ John Denver

0
0
Эта статья была вам полезна?
Help us improve the site
Give Feedback

Thank you for your support!

Your feedback has been sent.